ถ้าคุณเป็นคอกาแฟ คุณจะต้องเคยได้ยินชื่อกาแฟสกัดเย็นแน่ๆ เพราะชื่อนี้เริ่มเป็นเทรนด์ในประเทศไทยมาซักระยะ และหลายๆ แบรนด์ก็เริ่มนำเอาผลิตภัณฑ์มาวางขายเยอะขึ้นทุกวันๆ แต่สำหรับคนที่อาจจะไม่คุ้นเคยและกำลังสงสัยว่ามันจะต่างจากกาแฟเย็นยังไง แล้วถ้าอยากลองทำต้องทำอย่างไรบ้าง จะสะดวกหรือถูกกว่าไปซื้อกินที่ร้านไหม วันนี้เราลองมาหาคำตอบกัน
กาแฟสกัดเย็นคืออะไร?
กาแฟสกัดเย็นคือการนำเอากาแฟที่ผ่านการบดแล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องบทละเอียดมาก็ได้ มาแช่ (immerse/steep) กับน้ำอุณหภูมิต่ำ อาจจะเป็นน้ำเย็นหรือน้ำอุณหภูมิห้องก็ได้ จะทำให้สารประกอบต่างๆ ในกาแฟละลายออกมาได้น้อยกว่าเมื่อเทียมกับการชงด้วยน้ำร้อน ทำให้กาแฟสกัดเย็นมีรสชาติที่นุ่มกว่า และมีความเปรี้ยวที่ต่ำกว่ากาแฟร้อนทั่วไป แต่ก็แลกมาด้วยเวลาที่ต้องใช้ในการสกัดที่มากขึ้นหลายเท่าตัว
เมล็ดที่เหมาะกับการทำกาแฟสกัดเย็น
ทุคนสามารถใช้เมล็ดกาแฟที่ชอบได้เลย โดยแนะนำให้ใช้ระดับคั่วอ่อน หรือคั่วกลางเท่านั้น เพราะมีความขมน้อยและยังดึงกลิ่นของกาแฟออกมาได้มากกว่า ซึ่งหากใช้เป็นคั่วเข้มไปเลย อาจได้เป็นกาแฟขมที่อาจจะไม่ลงตัวยิ่งกว่าการชงแบบร้อนก็เป็นได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของแต่ละคนเช่นกัน
ความละเอียดในการบด อย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้าอาจจะไม่ต้องละเอียดมาก ถ้าจะพูดให้เจาะจง ขนาดที่เหมาะสมที่สุดหรือขนาดเท่ากับเกลือโคเชอร์ (kosher salt) ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเหลือที่เราใช้ๆ กันทุกวันนี้ แต่ก็มีขนาดเล็กกว่าเกลือที่อยู่ในขวดเกลือบดนั่นเอง
ตามปกติแล้วกาแฟสกัดเย็นจะใช้เวลาสกัดราวๆ 18-24 ชั่วโมง โดยใช้สัดส่วน 1:5 หรือกาแฟ 100 กรัม ต่อน้ำทุกๆ 500 มิลลิลิตร
วิธีทำกาแฟสกัดเย็น
- นำกาแฟที่บดแล้ว และน้ำผสมเข้าด้วยกัน คนให้กาแฟกระจายตัว
- นำไปแช่ตู้เย็นอย่างน้อย 18 ชั่วโมง หาทำไว้ตั้งแต่เที่ยง ก็สามารถดื่มได้ตอนเข้างาน 8 โมงเช้าพอดี
- เมื่อถึงเวลานำออกมากรองให้แยกออกเป็น 2 แบบ คือกรองหยาบและกรองละเอียด
- กรองหยาบ เช่น ผ้าขาว เพื่อลดระยะเวลากรองแบบละเอียด เพราะจะได้เอาชิ้นส่วนใหญ่ออกก่อน อีกทั้งยังลดระยะเวลาการกรองโดยรวมอีกด้วย
- กรองละเอียด เช่น กระดาษดริปกาแฟ นำกาแฟกรองหยาบมากรองอีกครั้งเพื่อกำจัดตะกอนและไม่ขัดสุนทรียภาพในการดื่ม
- บรรจุกาแฟลงขวด ปิดฝาให้สนิท กาแฟสกัดเย็นสามารถเก็บในตู้เย็นได้ยาวนานถึง 2 สัปดาห์
เราจำเป็นต้องมีเครื่องชงสกัดเย็นโดยเฉพาะหรือไม่?
เครื่องชงกาแฟสกัดเย็นสามารถช่วยให้ชีวิตคุณสะดวกสบายขึ้นเป็นอย่างมากหากคุณเป็นคอกาแฟและดื่มกาแฟสกัดเย็นอยู่เป็นประจำ เพราะคุณไม่จำเป็นต้องเตรียมอุปกรณ์ให้ยุ่งยากวุ่นวาย เพียงแค่ใส่กาแฟและเติมน้ำก็เพียงพอ แต่การทำกาแฟสกัดแบบไม่มีเครื่องก็ไม่ได้ยุ่งยากขนาดนั้น อาจจะลำบากเพียงตอนนบดกาแฟ (สำหรับคนไม่มีเครื่องบด) และตอนกรองเท่านั้น แต่ในแง่ก็ของระยะเวลาก็ไม่ต่างกัน
สรุป
การทำกาแฟสกัดเย็น จะเหมือนกับการทำอาหารทั่วไป หากทำเองยังไงก็ประหยัดกว่า เพียงแต่ค่าอุปกรณ์อาจจะดูแพงไปซักหน่อย โดยเฉพาะเมล็ด, ฟิลเตอร์ (กระดาษกรอง) และเครื่องบดกาแฟ (คุณอาจจะซื้อที่บดมือก็ไได้ แต่ราคาก็หลายร้อยเหมือนกันหากต้องการแบบมีคุณภาพ)
ซึ่งปัจจุบัน กาแฟสกัดเย็นสำเร็จรูปหรือตามร้านกาแฟต่างๆ ราคาก็สูงเกินกว่าเราจะสามารถซื้อดื่มได้ทุกวัน แต่ก็จะได้เรื่องความสะดวกด้านเวลามาแทน เพราะอยากจะดื่มเมื่อไหร่ก็ใช้เงินแก้ปัญหาได้ทันที แต่การทำเองอาจจะได้เรื่องคุณค่ามาแทน เพราะเราต้องใส่ใจตั้งแต่เรื่องเมล็ด บด แช่ กรอง ฯลฯ ด้วยตนเอง และในระยะยาวก็ถูกกว่าหลายเท่าตัวเช่นกัน